เกี่ยวกับเรา
เอเชียนไลฟ์ ในเครือ บริษัท เอเขียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2542 จากการรวมตัวของนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลด้วยปณิธานมุ่งมั่นที่จะให้คนไทยมีส่วนร่วมในการสร้างอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ และความงามที่มีความมั่นคง และยั่งยืน ซึ่งเกิดขึ้นจากการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของไทยตามหลักวิทยาศาสตร์สากล ตลอดจนมีส่วนในการพัฒนาสังคม และสร้างเสริมเศรษฐกิจด้วยการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมาตรฐานระดับโลก


ผลิตภัณฑ์ที่จัดจำหน่วยโดยเอเชียนไลฟ์ มีทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอางที่ผลิตขึ้นจากผลงานการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาโดยคณะวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ดังนี้
- มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้
- มีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ 100%
- มีประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เกินกว่า 90%
ในปี 2548 เพื่อยกระดับให้เป็นธุรกิจผลิตภัณฑ์ธรรมชาติเพื่อสุขภาพ และความงามอย่างครบวงจร เอเชียนไลฟ์ได้ควบรวมกิจการกับบริษัทอื่นในเครือเดียวกันคือ องค์กรวิจัยพัฒนา บจก. เอเชียน นูทราซูติคอล เซ็นเตอร์, โรงงานผลิตเครื่องสำอาง บจก. แนทเจอรัล คอสเมติคส์ รีเสิร์ช และโรงงานผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บจก. กรีนโกลด์ ให้อยู่ภายใต้การบริหารที่มีเอกภาพของบริษัทเดียวกันคือ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) : APCO
ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่วยโดยสมาชิกเอเชียนไลฟ์ จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ไร้ผลข้างเคียง ซึ่งผลิตโดยโรงงานในกลุ่มบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับการรับรองระบบ GMP จากกระทรวงสาธารณสุข และใบประกาศนียบัตร ISO 14001 : 1996

ศูนย์วิจัย และพัฒนามังคุดไทย (Mangosteen Research & Development Center (Thailand)
เอเชียนไลฟ์ ในเครือ บริษัท เอเขียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2542 จากการรวมตัวของนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลด้วยปณิธานมุ่งมั่นที่จะให้คนไทยมีส่วนร่วมในการสร้างอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ และความงามที่มีความมั่นคง และยั่งยืน ซึ่งเกิดขึ้นจากการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ธรรมชาติของไทยตามหลักวิทยาศาสตร์สากล ตลอดจนมีส่วนในการพัฒนาสังคม และสร้างเสริมเศรษฐกิจด้วยการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และมาตรฐานระดับโลก
ศูนย์วิจัย และพัฒนามังคุดไทย จัดตั้งขึ้นในวันที่ 11 มกราคม 2551 โดยนักวิจัยไทยที่ได้ทำการวิจัยสารธรรมชาติในมังคุดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
- เพื่อรวบรวมนักวิจัยไทยที่ดำเนินการเกี่ยวกับสารในมังคุดให้อยู่ในองค์กรเดียวกัน สะดวกต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ และข้อมูล ทำให้ไม่เกิดการสูญเสียเวลา และประมาณจาการทำการวิจัยซ้ำซ้อน
- เพื่อประสานให้นักวิจัยร่วมวางแผนการวิจัยเพิ่มเติม ได้ข้อสรุปเชิงวิชาการที่จะช่วยยกระดับคุณภาพ และสรรพคุณของผลิตภัณฑ์มังคุดไทย อาทิเช่น การทดสอบประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์มังคุดไทยในการเสริมสร้างสุขภาพ และป้องกันโรคต่าง ๆ ในคนซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือของนักวิจัยจากหลายสาขาความเชี่ยวชาญ และงบประมาณที่สูง
- เพื่อประสานให้นักวิจัยไทยใช้ผลงาน และข้อมูลของงานวิจัยเกี่ยวกับสารในมังคุดในการร่วมสร้างอุตสาหกรรมที่มั่นคง และยั่งยืนกับชาวสวน และนักอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์มังคุด อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ชาวสวนในการเพิ่มมูลค่าของผลผลิต เกิดประโยชน์แก่นักอุตสาหกรรมในการผลิต ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และเกิดประโยชน์แก่นักวิจัยเองในเชิงสร้างความภาคภูมิใจ และค่าสมนาคุณที่เหมาะสม
- เพื่อนำเสนอผลงาน และข้อมูลงานวิจัยสารในมังคุดจนถึงปัจจุบัน และที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเป็นเอกภาพ และครบวงจรให้กับวงการวิชาการ วงการธุรกิจ และประชาชนทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ สร้างความเชื่อมั่น และการยอมรับในประโยชน์ จากการใช้ผลิตภัณฑ์มังคุดในกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่มีความรู้ และการศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะทำให้สามารถเพิ่มปริมาณ และมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศในที่สุด
นักวิจัย Operation BIM ที่ร่วมก่อตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนามังคุดไทย

- ศาสตราจารย์ ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา – ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน)
- รองศาสตราจารย์ ดร.อำไพ ปั้นทอง – ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- รองศาสตราจารย์ ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร – ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- รองศาสตราจารย์ ดร.วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม – ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
- รองศาสตราจารย์ ดร.ศิริวรรณ องค์ไชย (แย้มนิยม) – ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เริ่มต้นจาการวิจัยผลมังคุด
เมื่อปี พ.ศ. 2520 คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งประกอบด้วย ดร. วิลาวัลย์ มหาบุษราคัม, ดร.เสาวลักษณ์ พงษ์ไพจิตร, ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.อำไพ ปั้นทอง รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สหวิชาการอีกหลายท่าน เริ่มทำการศึกษาสารธรรมชาติในผลมังคุด ด้วยการสกัดสารบริสุทธิ์แล้ว ทำการทดสอบประโยชน์ทางการแพทย์ด้านต่าง ๆ ก่อนจะสรุปได้ว่า สารในมังคุดที่มีคุณสมบัติในการสร้างเสริมสุขภาพคือ สารกลุ่ม Xanthones นี้อยู่กว่า 40 ชนิด แต่มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่มีประโยชน์ บางชนิดอาจมีผลข้างเคียงได้ และชนิดที่มีประโยชน์ หากใช้น้อยเกินไปก็จะไม่แสดงสรรพคุณ แต่ถ้าใช้มากไปก็อาจจะเกิดโทษได้ ดังนั้นการนำ Xanthones ไปใช้ในการเสริมสร้างสุขภาพ จึงจำเป็นต้องใช้ให้ถูกต้อง และใช้ในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น
ผลจากการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องของคณะนักวิจัยจากศูนย์วิจัย และพัฒนามังคุดไทย พบว่า Xanthones ที่มีสรรพคุณสูงสุดคือ GM-1 ซึ่ง GM-1 เป็นสารที่ปลอดภัย โดยปลอดภัยกว่าสารที่ให้รสเปรี้ยวในส้มถึง 5 เท่า และมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- ต้านเชื้อแบคทีเรีย
- ต้านการอักเสบ
- ระงับการปวด และลดอาการแพ้
- ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ซึ่งเกิดจาก LDL Cholesterol Oxidation
- ฆ่าเซลส์มะเร็งในเต้านม มะเร็งในเม็ดเลือด มะเร็งในตับ มะเร็งในไต มะเร็งในทางเดินอาหาร และ มะเร็งในปอด (ทดสอบในหลอดทดลอง)
- ระงับการเจริญเติมโตของเชื้อวัณโรค (ในหลอดทดลอง)
- ระงับการขยายตัวของเชื้อ HIV (ในหลอดทดลอง)
- เพิ่มความสามารถของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม และเชื้อแบคทีเรีย (Phagocytic activity)
- ระงับการเสื่อมสลายของกระดูกอ่อน และสร้างมวลกระดูก
พัฒนาเป็นอาหารที่สร้างความสมดุลของภูมิคุ้มกัน
แต่ในการพัฒนา GM-1 ให้เป็นยาซึ่งจะต้องใช้เวลานับสิบปี และงบประมาณเป็นพันล้านในการดำเนินการ ตามกฎเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก ดังนั้นคณะนักวิจัย Operation BIM จากศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้ริเริ่มแนวทางใหม่ ด้วยการใช้อาหารสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลเพื่อป้องกันโรคภัย ซึ่งสามารถนำสาร GM-1 อันทรงคุณค่านี้ ใช้ให้เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่อยู่ในสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ โดยมีองค์ประกอบของ GM-1 อยู่ และพบว่าสูตรอาหารที่ได้จากมังคุดจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อเสริมฤทธิ์ด้วยสารสกัดจากธัญพืชและผลไม้ เช่น ถั่วเหลือง, งาดำ, ฝรั่ง, และ บัวบก จากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง พบว่าสูตรอาหารนี้มีประสิทธิภาพสูงในการปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล จึงได้ตั้งชื่อสูตรอาหารนี้ “ BIM ซึ่งย่อมาจาก Balancing Immunity (ภูมิคุ้มกันที่สมดุล) “ แล้วขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกับคณะกรรมการอาหาร และยา และคณะนักวิจัยฯ นำเสนอผลงานวิจัยนี้ในที่ประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ตามโอกาสต่าง ๆ ที่ได้รับเชิญ ซึ่งมีการบรรยายถึงข้อมูลผลการวิจัยที่กระทำต่อเนื่องมากกว่า 30 ปี แระรายงานผลการทดสอบผลิตภัณฑ์กับอาสาสมัครผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ
ได้ทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ Operation BIM ต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้อธิบายประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ Operation BIM ในการสร้างสมดุลของภูมิคุ้มกันตามหลักภูมิคุ้มกันวิทยาล่าสุด
การสร้างภูมิคุ้มกันที่สมดุล เป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพ
ภูมิคุ้มกันที่สมดุลขึ้นอยู่กับการทำหน้าที่อย่างสมดุลของเม็ดเลือดขาว 4 ชนิด คือ
- Th1 กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับเชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และ มะเร็ง ได้ดีขึ้น
- Th2 กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับสารก่อภูมิแพ้ และหนอนพยาธิ ได้ดีขึ้น
- Th17 กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจัดการกับสิ่งแปลกปลอมทั้งหลายที่เหลือจากการจัดการของ Th1 และ Th2
Th1, Th2 และ Th17 เมื่อมีมากเกินไปจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันมากเกินไป จนเกิดอาการแพ้ภูมิตัวเอง
- Treg กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันที่มากเกินไป กลับสู่สภาวะสมดุล
จากการทดสอบผลิตภัณฑ์ Operation BIM พบว่าผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดมีผลต่อการปรับ Th1, Th2, Th17 และ Treg ในลักษณะแตกต่างกัน
นักวิจัยจึงอธิบายได้ว่าผู้บริโภคที่มีปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ติดเชื้อโรค มีเนื้องอกในมดลูก ถุงน้ำในรังไข่ เป็นมะเร็ง มีภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ กระเพาะ/ลำไส้อักเสบเรื้อรัง กรดไหลย้อน ข้อเข่าเสื่อม/อักเสบ ผื่นคันตามผิวหนัง สะเก็ดเงิน ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตวาย ไทรอยด์เป็นพิษ หอบหืด สันนิบาต เบาหวาน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด วิงเวียนศีรษะ ไมเกรน เก๊าท์ ฯ ต่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ Operation BIM เนื่องจาก Operation BIM สามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้สมดุลในกลุ่มผู้บริโภคเหล่านี้นั้นเอง